ในช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นกับเด็กๆ หลายข่าวเลยทีเดียว และที่คาดว่าหลายๆ ท่านน่าจะจำได้ดี ก็คือ คลิปวีดีโอของรถยนต์สีขาวคันหนึ่งที่กำลังออกตัว แล้วมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตกลงมาจากเบาะหน้าด้านซ้าย โชคดี ที่ขณะนั้นเป็นช่วงที่รถติดไฟแดง และเด็กคลานหนีออกมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงโดนรถทับ เป็นคลิปที่ดูแล้วหวาดเสียวและบาดหัวใจของทุกคนเลยใช่ไหมล่ะค่ะ
ในเรื่องนี้ทางเคเจเจริญทอยส์เห็นว่าเรื่องการเลือกใช้คาร์ซีทเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงได้รวบรวมข้อมูลสถิติเด็กกับอุบัติเหตุมาฝากกันดังนี้ค่ะ
นายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากสถิติข้อมูลอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุของเด็กๆ ที่อายุระหว่าง 1-15 ปี ตลอดปี 2559 พบว่า เด็กมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินทั้งสิ้น 156,525 คน แบ่งเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉินเกี่ยวกับกุมารเวชกรรม มากที่สุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 56,101 คน และอันดับสองคือ อุบัติเหตุยานยนตร์ จำนวน 36,203 คน ลำดับที่สาม คือ พลัดตกหกล้ม จำนวน 15,245 คน
ทั้งนี้ นายแพทย์อนุชาได้กล่าวเสริมอีกว่า เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด คืออุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์และการพลัดตกหกล้ม เพราะร่างกายของเด็กยังบอบบางและอ่อนแอ เมื่อประสบอุบัติเหตุจึงมีแนวโน้มจะเสียชีวิตมากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อจะพาบุตรหลานออกนอกบ้าน ควรดูแลเรื่องความปลอดภัย คือ หากเด็กนั่งรถยนต์ควรให้เด็กนั่งที่เบาะหลังและคาดเข็มขัดนิรภัย หรือเด็กเล็กควรนั่งคาร์ซีท จะช่วยลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากนี้ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีเด็กวัย 1-14 ปี ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนมากถึง 2,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นอุบัติเหตุรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จำนวน 700 – 1,000 คน จากการไม่ติดตั้งเบาะนิรภัย
รศ.นพ.อดิศักดิ์ยังได้กล่าวอีกว่า แม้ในรถทุกคันจะมีเข็มขัดนิรภัยอยู่แล้ว แต่ร่างกายของเด็กที่เหมาะสมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถได้ต้องเป็นเด็กที่อายุมากกว่า 10 ปี หรือตามขนาดตัวของเด็ก แต่ยังไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่านั้น การติดตั้งคาร์ซีทสำหรับเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลดการเสียชีวิตได้มากถึงร้อยละ 60 ของจำนวนเด็กที่เสียชีวิตทั้งหมด
อ่านสถิติกันมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับคาร์ซีทกันดีกว่าค่ะ
คาร์ซีท คืออะไร
คาร์ซีท คืออุปกรณ์ช่วยป้องกันความปลอดภัยบนรถยนต์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดและวัยของเด็กโดยเฉพาะ เนื่องจากรถยนต์ถูกออกแบบมาตามรูปร่างของผู้ใหญ่ หรือเด็กที่โตแล้ว แต่สำหรับเด็กเล็กถือว่ายังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เพราะเมื่อเด็กคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็จะมีความหลวม ทำให้เวลาเกิดอุบัติเหตุเด็กกระเด็นออกนอกรถได้
ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้ คาร์ซีท
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้คาร์ซีท อาจเนื่องมาจากเห็นว่าราคาแพง ต้องเปลี่ยนขนาดตามวัยของเด็ก ลูกไม่ชอบนั่ง เมื่อจับให้นั่งแล้วก็จะร้องไห้โยเยตลอดเวลา นอกจากนี้ การไม่มีกฎหมายบังคับก็ทำให้รู้สึกว่าจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แค่เราอุ้มลูกมาไว้บนตักก็น่าจะปลอดภัยเพียงพอ แม้เราอาจจะไม่อยากใช้คาร์ซีทด้วยเหตุผลตามที่กล่าวไปแล้ว แต่รู้ไหมคะว่าจริงๆ แล้วคาร์ซีทนั้นมีข้อดีหลายอย่างเลย
ประโยชน์ของการใช้ คาร์ซีท
- ช่วยลดอาการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
- ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะผู้ปกครอง หรือผู้ขับรถมีสมาธิในการขับมากขึ้น
- น้ำหนักเบา ทำความสะอาดได้ง่าย
- เด็กๆ ไม่เมารถ เพราะเด็กไม่เล่นซุกซนในขณะที่รถเคลื่อนที่
- ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น แถมไม่ต้องหงุดหงิด กวนใจ กับการที่ลูกทำของเล่น หรืออาหารหกเลอะเทอะบนรถ
คาร์ซีท มีกี่ประเภท
ส่วนใหญ่เราจะแบ่งคาร์ซีทตามอายุ ส่วนสูง และขนาดตัวของเด็กได้ดังนี้
- คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าเบาะ คาร์ซีทแบบนี้จะมีด้ามจับอยู่ข้ามบน สามารถถอดออกจากฐานที่ยึดกับเบาะรถได้ แบบนี้จะเหมาะกับเด็กทารกแรกเกิด – 2 ปี หรือเด็กที่มีขนาดตัวตามที่คาร์ซีทแต่ละยี่ห้อกำหนดไว้
- คาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ แบบนี้จะหันไปข้างหน้ารถเหมือนเบาะรถปกติ เหมาะกับเด็กอายุ 2-5 ปี หรือเด็กที่มีอายุหรือขนาดตัวตามที่กำหนด
- คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม แบบนี้จะติดตั้งโดยยึดกับเบาะหลังและหันไปข้างหน้าเหมือนเบาะรถปกติ ใช้สำหรับเด็กที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป สามารถใช้งานได้จนกว่าเด็กจะโต
- ทั้งนี้ควรศึกษาคู่มือการใช้งาน และสอบถามพนักงานขายอย่างละเอียด เนื่องจากคาร์ซีทแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นอาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน
ปัจจัยในการเลือกซื้อ คาร์ซีท
- เลือกตามขนาดตัวและช่วงวัยของลูก และควรเลือกเบาะที่ไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป
- เลือกคาร์ซีทให้เหมาะสมกับรถของเรา
- เป็นสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ แข็งแรงทนทาน
- ควรเน้นเรื่องความปลอดภัยด้วยการเลือกเข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุด
- พิจารณาจากวันหมดอายุที่อยู่ด้านหลังหรือด้านข้างของคาร์ซีท
- สามารถถอดซักทำความสะอาดได้
- การระบายความร้อน
- การรับประกันสินค้า กรณีสินค้าชำรุดหรือมีตำหนิจะได้เปลี่ยนอะไหล่เพื่อนำมาใช้งานต่อ
- เลือกจากน้ำหนักและการติดตั้งง่าย เพราะหากเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตัวเล็ก อาจต้องพิจารณาเรื่องการยกขึ้นลงรถบ่อยๆ
- หากจำเป็นต้องซื้อคาร์ซีทมือสอง ไม่ควรเลือกคาร์ซีทที่มีสภาพเก่าเกินไป หรือมีร่องรอยชำรุด ควรเลือกคาร์ซีทที่มีคู่มือการใช้งานและมีอุปกรณ์ครบถ้วน
วิธีการใช้คาร์ซีท
- ก่อนให้ลูกใช้งานจริง ควรสอบถามวิธีใช้จากพนักงานขายอย่างละเอียด
- อ่านคู่มือการใช้งาน ซึ่งคาร์ซีทแต่ละยี่ห้อ และแต่ละรุ่นอาจมีข้อกำหนดในการใช้งานแตกต่างกัน
- หากเด็กสูงไม่เกิน 145 เซนติเมตร ควรติดตั้งคาร์ซีทไว้ที่เบาะด้านหลังเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- ทำตามคำแนะนำในคู่มือ โดยสอดเข็มขัดนิรภัยผ่านช่องเข็มขัดของคาร์ซีท จากนั้นปรับและล็อกเข็มขัดให้แน่น
- กดคาร์ซีทลงบนเบาะเพื่อปรับให้แน่นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคาร์ซีทไม่ควรเคลื่อนไปด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาจากที่ติดตั้งไว้ตอนแรกมากเกินกว่า 1 นิ้ว
- หากเข็มขัดนิรภัยมีขนาดใหญ่เกินกว่าตัวของเด็ก ควรปรับให้มีความพอดีโดยการนำผ้าขนหนูมาม้วนและหนุนไว้ข้างลำตัวเด็กทั้ง 2 ข้าง หรือจะซื้อหมอนหนุนมาใช้โดยเฉพาะก็ได้
- ควรตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางทุกครั้งว่าคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว
- หากลูกพยายามเปิดล็อกคาร์ซีทเอง ควรรีบหาที่จอดรถข้างทางและมาตรวจสอบความปลอดภัยของคาร์ซีทและตัวลูกก่อนออกเดินทางอีกครั้ง
- ไม่ควรปล่อยให้ลูกนั่งคาร์ซีทตามลำพัง เช่น คิดว่าลงไปซื้อของแค่ประเดี๋ยวเดียวคงไม่เป็นไร แต่อาจทำให้เข็มขัดนิรภัยรัดคอลูกก็ได้ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
ใช้คาร์ซีทอย่างไรให้คุ้มค่า
เนื่องจากคาร์ซีทเป็นของที่ค่อนข้างมีราคา ดังนั้น การที่จะซื้อมาแล้วให้คุ้มที่สุดก็คือ ต้องให้ลูกใช้แม้ลูกจะร้องไห้โยเยก็ตาม แต่ก็อาจจะเป็นช่วงแรกๆ ในการปรับตัว เมื่อเขาเริ่มคุ้นเชินกับคาร์ซีทแล้ว และเห็นว่ามีผู้ปกครองอยู่ใกล้ๆในสายตา ลูกก็จะเริ่มร้องไห้ลงลงในที่สุดทั้งนี้ วิธีการฝึกคาร์ซีทให้ลูกคุ้นเคยก็คือ ให้ลองนำเบาะมาให้ลูกนั่งเล่นในบ้าน จะป้อนข้าวลูกไป หรือชวนเล่นของเล่นต่างๆไปก็ได้ เพื่อให้ลูกรู้สึกคุ้นเคย เมื่อถึงเวลาใช้จริง ลูกจะได้ไม่วิตกและร้องไห้งอแงค่ะ
ใช้คาร์ซีทแบบไหนผิดวิธี
- คิดถึงแต่อายุของเด็กอย่างเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วเด็กแต่ละคนก็มีรูปร่างแตกต่างกัน เด็กบางคนผอม บางคนอ้วน ดังนั้น จึงควรคำนึงถึงน้ำหนักและรูปร่างของลูกด้วย
- ติดตั้งคาร์ซีทไม่ถูกต้อง บางคนอาจจะคาดเข็มขัดแน่นเกินไป หรือหลวมเกินไป เพราะกลัวลูกจะอึดอัด แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ลูกจะไม่ได้รับความปลอดภัยที่เพียงพอ
- ไม่รู้ว่ามีวันหมดอายุ ผู้ที่ซื้อคาร์ซีทมือสองบางท่าน อาจไม่รู้ว่าคาร์ซีทมีวันหมดอายุ จึงไม่ได้สอบถามจากคนขาย การใช้คาร์ซีททีใกล้จะหมดอายุทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพ และมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยไม่มากพอ
- ไม่ทำความสะอาดคาร์ซีท เศษขนม นม น้ำผลไม้ คราบอาเจียนและน้ำลาย ที่ถูกหมักหมมไว้จะทำให้เกิดความ สกปรกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ เสี่ยงต่ออนามัยของลูก และอาจทำให้สมรรถนะความปลอดภัยของอุปกรณ์ลดน้อยลง
- คิดว่าซื้อคาร์ซีทจากที่ไหนก็เหมือนกัน เนื่องจากคาร์ซีทเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งเกรงว่าถ้าเอามาแล้วลูกจะยังไม่ยอมใช้ ดังนั้น การเลือกซื้อคาร์ซีทมือสองน่าจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด แต่จริงๆ แล้วการซื้อคาร์ซีทมีอสองควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือซื้อจากคนรู้จัก จะได้สอบถามได้ว่าเคยล้มกระแทกหรือเกิดอุบัติเหตุไหม เพราะต้องพิจารณาเรื่องความแข็งแรงทนทาน ไหนๆ จะต้องจ่ายเงินแล้วควรเลือกซื้อแบบที่ปลอดภัยกับลูกของเราสูงสุด
วิธีทำความสะอาคคาร์ซีท
- ควรทำความสะอาดคาร์ซีททุก 3 ถึง 6 เดือน
- หากเป็นผ้าให้ถอดออกมาซักมือ หรือซักด้วยเครื่องซักผ้าก็ได้
- หากเป็นแบบหนังควรใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ด
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและไม่ทิ้งสารที่เป็นอันตรายต่อผิวเด็ก
- หากไม่มั่นใจว่าถอดแล้วจะใส่เบาะกลับไปได้หรือไม่ อาจใช้วิธีถ่ายรูปไว้ก่อนก็ได้ หรือจะใช้บริการจากร้านทำความสะอาดคาร์ซีทก็ได้ สะดวกดี
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจอยากจะหาซื้อคาร์ซีทให้ลูกได้ใช้ แต่ติดที่มีสินค้าในท้องตลาดมากมายเหลือเกิน เราอาจจะใช้วิธีเปรียบเทียบคุณสมบัติด้วยการศึกษาจากแหล่งข้อมูลสินค้าออนไลน์ สอบถามจากเพื่อนๆ ที่ใช้งานจริง หรือจะไปเดินดูในงานแสดงสินค้าก็ได้ เพื่อจะได้เห็นของจริงและสอบถามวิธีใช้จากพนักงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ในงานแสดงสินค้ายังมีโปรโมชั่นดีๆ ราคาโดนๆ ที่ให้เราช็อปได้อย่างสบายกระเป๋าอีกด้วยล่ะค่ะ
จากที่กล่าวมา ก็จะเห็นแล้วว่าคาร์ซีทนั้นช่วยลดอาการบาดเจ็บ และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของเด็กๆ จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้มากเลยนะคะ แม้ว่าข้อมูลที่นำมาให้พิจารณาในวันนี้จะมากอยู่สักหน่อย แต่เชื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อความปลอดภัยของคุณลูกน้อยอย่างแน่นอนค่ะ
เรียบเรียงข้อมูลจาก
https://news.thaipbs.or.th
https://www.matichon.co.th